สาวสวย

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของจังหวัดกระบี่


จังหวัดกระบี่ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก คือทะเลอันดามัน ติดต่อกับจังหวัดพังงา และสุราษฎร์ธานีทางด้านทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดตรังทางด้า
ทิศใต้ และติดต่อกับจังหวัดสุราษฎร์ธานีกับจังหวัดนครศรีธรรมราชทางด้านตะวันออก ตัวจังหวัด ตั้งอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาที่สำคัญของภาคใต้สองแนวคือ แนวเทือกเขาภูเก็ตอยู่ทางทิศตะวันตก แนวเทือกเขานครศรีธรรมราชอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเทือกเขาที่ต่อเนื่องมาจาก เทือกเขาตะนาวศรี พื้นที่ส่วนใหญ่มีภูเขาหินปูนเป็นลูกโดด ๆ เตี้ย ๆ มีถ้ำหินปูน บ่อน้ำร้อนและแอ่งน้ำที่เกิดจากการยุบตัวของแผ่นดิน สลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่นลอนลาด ที่ราบเชิงเขาที่ลาดเอียงไปทางชายฝั่งด้านใต้ และด้านตะวันตก และที่ราบแคบ ๆ แถบชายฝั่ง พื้นที่ตอนกลางมีแนวภูเขาที่สำคัญคือ ภูเขาพนมเบญจาอยู่ในเทือกเขาภูเก็ต วางตัวอยู่ในแนวเหนือ - ใต้ เป็นภูเขาที่มียอดเขาสูงสุดในแนวเทือกเขาภูเก็ต คือสูง ๑,๔๐๐ เมตร เป็นแนวสันปันน้ำ ด้านตะวันตกไหลลงสู่อ่าวพังงา ด้านตะวันออกไหลลงสู่แม่น้ำกระบุรี ด้านทิศเหนือไหลลงสู่แม่น้ำตาปี ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่มีชายฝั่งทะเลยาวประมาณ ๑๖๐ กิโลเมตร เป็นชายฝั่งทะเลยุบตัวอันเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกใกล้กับแนวแผ่นดิน มีลักษณะเว้าแหว่ง และสูงชันต่างกัน บางบริเวณมีภูเขาติดกับชายฝั่งทะเล เช่น เขากาโรส และมีเกาะอยู่นอกชายฝั่งอยู่ถึง ๑๓๐ เกาะ ในบรรดาเกาะดังกล่าวมีผู้คนอาศัยอยู่เพียง ๑๓ เกาะ เกาะที่สำคัญได้แก่ เกาะลันตา เกาะจำ เกาะพี - พี เกาะศรีบอยา เกาะไหง ฯลฯ พื้นที่ชายฝั่งส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนไหล่ทวีปผืนแคบ ๆ มีหาดทรายอยู่น้อย มีบางบริเวณถูกแรงบีบอัดของเปลือกโลก ทำให้ท้องทะเลเดิมถูกยกตัวขึ้นมาอยู่บนชายฝั่ง เช่น พื้นที่บริเวณสุสานหอย ๗๕ ล้านปี ที่บ้านแหลมโพธิ ตำบลไสไทย อำเภอเมือง ฯ
เมืองกระบี่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชให้พระปลัดเมืองมาตั้งเพนียดจับช้างที่บ้านปกาไส ต่อมามีผู้คนมากขึ้นก็ยกฐานะเป็นแขวงเมือง แล้วได้รวบรวมแขวงเมืองต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงยกฐานะขึ้นเป็นเมืองกระบี่ แต่เนื่องจากไม่มีรายละเอียดว่าเป็นปลัดท่านใด จึงไม่สามารถกำหนดระยะเวลาลงไปได้ อย่างไรก็ตามก็มีการสันนิษฐานว่า การตั้งเพนียดจับช้างที่ปกาไสนั้นน่าจะเกิดปลายสมัยเจ้าพระยานคร (พัด) ซึ่งปกครองเมืองนคร ฯ อยู่ ๒๗ ปี ถึง พ.ศ.๒๓๕๔ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2415 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะแขวงเมืองปกาสัยขึ้นเป็นเมืองและทรงพระราชทานนามว่า “เมืองกระบี่” โดยให้ตั้งที่ทำการบริหารราชการอยู่ที่ตำบลกระบี่ใหญ่(บ้านตลาดเก่า) ในท้องที่อำเภอเมืองของเมืองนครศรีธรรมราช มีเจ้าเมืองคนแรกชื่อหลวงเทพเสนา และต่อมาในปี พ.ศ. 2418 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แยกเมืองกระบี่ ออกจากการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานครสำหรับการตั้งเมืองนั้น เมื่อ พ.ศ. 2433 พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอ ซิบบี้ ณ ระนอง) สมุหเทศาภิบาล ประสงค์จะให้เมืองอยู่ใกล้กับท่าเรือสามารถติดต่อกับต่างประเทศได้สะดวกจึงได้ย้ายศาลากลางจากตลาดเก่ามาตั้ง ณ ที่ตั้งปัจจุบัน ต่อมาปี พ.ศ. 2475 ศาลากลางหลังเก่าทรุดโทรมมากจึงได้ตั้งขึ้นใหม่ ณ ริมแม่น้ำกระบี่ ตำบลปากน้ำ ตรงข้ามที่ดั้งเดิมไปทางทิศตะวันออกปัจจุบันนี้ เมืองเจริญขึ้น ศาลากลางหลังเก่าคับแคบ และทรุดโทรม จึงได้สร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่ขึ้น หันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2510ความหมายของคำว่า “กระบี่” มีตำนานเล่าลือกันมาว่า ชาวบ้านได้ขุดพบมีดดาบเล่มหนึ่ง ได้นำมามอบให้กับเจ้าเมืองกระบี่ ต่อมาไม่นานก็ขุดพบมีดดาษเล็กอีกเล่มหนึ่งรูปร่างคล้ายกับมีดดาบเล่มใหญ่ และได้นำมามอบให้กับเจ้าเมืองกระบี่ เช่นกัน
เจ้าเมืองเห็นว่าควรเก็บไว้เป็นดาบคู่บ้านคู่เมืองเพื่อเป็นสิริมงคลแต่เนื่องจากขณะนั้นยังสร้างเมืองไม่เสร็จจึงได้นำดาบไปเก็บไว้ในถ้ำเขาขนาบน้ำหน้าเมืองโดยวางไขว้กัน ลักษณะการวางจึงกลายเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดกระบี่ ในปัจจุบันยังมีการสันนิษฐานอื่น ๆ เกี่ยวกับที่มาของชื่อ “กระบี่” ในความหมายที่แปลว่า “ลิง” ว่าเมืองกระบี่ก่อนแขวงเมืองปกาสัยเป็นที่ตั้งของเมือง “บันไทยสมอ” ซึ่งเป็นเมืองในสิบสองนักษัตรขึ้นตรงต่อเมืองนครศรีธรรมราช และเมืองบันไทยสมอ ใช้ตราลิงเป็นตราประจำเมืองโดยถือเอาความหมายแห่งเมืองหน้าด่านปราการ เพราะลิงในสมัยก่อนถือว่ามีความองอาจกล้าหาญเทียบเท่าทหารกองหน้า เช่น บรรดาลิงแห่งกองทัพพระรามและในสภาพความเป็นจริงคนเฒ่าคนแก่ของเมืองกระบี่เล่าว่า ในสมัยก่อนมีลิงอยู่เป็นจำนวนมากเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้เสด็จประพาสเมืองกระบี่ สมัยพระแก้วโกรพ (หมี ณ ถลาง) เป็นเจ้าเมือง ดังความปรากฏในจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๓๕๒) พระองค์เสด็จโดยเรือถลาง ผ่านภูเก็ต พังงา มาถึงปากน้ำกระบี่ ทางเมืองกระบี่ได้จัดขบวนเรือยาวเรือพายเป็นขบวนต้อนรับเรือเข้าจอดท่าสะพานเจ้าฟ้าพระองค์ได้เสด็จทอดพระเนตรสถานที่ราชการ ทอดพระเนตรถ้ำหนองกก ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่าถ้ำเสด็จ ทอดพระเนตรการชนควาย มวยมลายู หนังตะลุง มโนราห์ และมะยง (มะโย่ง) วันรุ่งขึ้นเรือออกจากเมืองกระบี่ผ่านเกาะลันตา แหลมกรวด ทอดพระเนตรการงมหอยนางรม วันต่อมาเสด็จเกาะลันตา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา มีกองทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองกระบี่ ๒ แห่งคือที่บริเวณบ้านทุ่งแดง และบริเวณบ้านคลองหิน ใช้อาคารโรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูลเป็นที่ตั้งกองบัญชาการ หน่วยต่อต้านญี่ปุ่นในจังหวัดกระบี่ได้ประสานงานกับเสรีไทย ผลักดันให้ญี่ปุ่นถอนทหารออกไป เรือกลไฟชื่อถ่องโห ซึ่งเดิมเป็นเรือสินค้าวิ่งขนส่งสินค้าระหว่าง ภูเก็ต - กระบี่ - ตรัง - ปีนัง ทหารญี่ปุ่นยึดเอาไปใช้ขนส่งทหารและสัมภาระ ได้ถูกตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำฝ่ายสัมพันธมิตรยิงจมที่บริเวณเกาะหัวขวานบริเวณทะเลกระบี่ ซากเรือยังจมอยู่ใต้น้ำมาจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงเวลาสงครามและหลังสงครามชาวกระบี่ขัดสนแร้นแค้นมากกว่าเมืองอื่น ๆ ถึงสองเท่าเพราะกระบี่ในสมัยนั้นมีความทุรกันดารเป็นปกติอยู่แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการคมนาคมทางบก ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ คงมีแต่เฉพาะทางเรือที่ติดต่อกับจังหวัด ภูเก็ต พังงา ระนอง ย่างกุ้ง ปีนัง สิงคโปร์ กระบี่เป็นเมืองช้างมาแต่โบราณ การตั้งเมืองขึ้นก็เนื่องมาจากการตั้งพะเนียดจับช้างของปลัดเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ชาวบ้านได้คล้องช้างที่บ้านป่าหนองเตา ตำบลลำทับ ปัจจุบันคือบ้านป่างาม ตำบลดินอุดม คล้องช้างได้ ๖ เชือก มีช้างเผือกรวมอยู่ด้วย ๑ เชือก เป็นเพศผู้ อายุประมาณ ๔ ปี ให้ชื่อว่าพลายแก้ว ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ทางจังหวัดได้แจ้งไปทางองค์การสวนสัตว์ขอน้อมเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้รับการสมโภชน์ขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้นามว่า พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ฯ เป็นช้างเผือกโท

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ... นางสาวยุพาวดี

สกุล... แข็งแรง

ที่อยู่... 62 หมู่ 4 ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่

กำลังศึกษา... มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ราชบุรี

นิสัยส่วนตัว... ขี้เล่น ขี้น้อยใจ เป็นกันเอง

อาหารสุดโปรด... ผัดพริกแกงทะเล

ใฝ่ฝัน... อยากเป็นคุณครู

สิ่งที่อยากทำ... กลับไปพัฒนาบ้านเกิด


ฯลฯ